เคยใหมที่รู้สึกท้อแท้ที่จะเริ่มต้นทำบางสิ่งบางอย่าง เมื่อเริ่มต้นเรามักจะศึกษาแนวทาง โดยเฉพาะแนวทางลัดสู่ความสำเร็จ เพราะไม่มีใครที่อยากทำอะไรแล้วล้มเหลวเลวหรอกจริงใหม?
ทำให้ทุกวันนี้หนังสือแบบ How to จึงเป็นที่นิยม
อ้อจันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบอ่านหนังสือแบบนี้
เพราะเวลาอ่านมันทำให้เรารู้สึกดี มีความหวัง
แต่ทว่า
การที่จะใช้ชีวิตอย่างที่หนังสือมันเขียนบอกกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราวิตกกังวล
ว่าหากเราไม่ทำแบบนี้เราจะไม่ประสบความสำเร็จ???
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ท้อมากกว่าเดิม
เรากลับมาเริ่มรู้สึกว่าเราห่างไกลจากความสำเร็จ
เราเริ่มรู้สึกว่าชีวิตเป็นเรื่องยากไม่เหมือนกับสโลแกนในหนังสือ
เมื่อหนังสือเริ่มไม่ตอบโจทย์
ที่นี้ก็ย้ายมาอ่านประสบการณ์ตามเว็บพันทิพ
หรือเว็บไซต์ต่างๆเพื่อศึกษาแนวทางของคนที่ประสบความสำเร็จ
หรือเรียนรู้ถึงปัญหาว่าทำไมเขาจึงล้มเหลว
แต่เว็บไซต์นั้น
ส่วนมากจะเต็มไปด้วยคำบ่น
และมีน้อยมากจริงๆที่จะเป็นคนประสบความสำเร็จมากๆมาตอบกระทู้
และความคิดเห็นเหล่านั้นกลับทำให้ทุกอย่างมันยิ่งดูยุ่งยากเข้าไปอีก
เริ่มจะมีคำแนะนำให้ต้องทำสิ่งต่างๆที่ถึงแม้ไม่ชอบก็ต้องทำ
เรากลับมานั่งทบทวน ทั้งแนวคิดจากหนังสือ
ความคิดเห็นของคนในเว็บไซต์ต่างๆ และแนวคิดของคนดังระดับโลก
เราจะรู้สึกได้ว่ามันมีความแตกต่างอย่างมาก ระหว่างคนธรรมดา
กับคนที่ได้ไปยืนอยู่แนวหน้าของโลก เรารู้สึกว่า....
คนธรรมดามักพูดหรือทำทุกสิ่งจนยุ่งยากสับสนวุ่นวาย
แต่คนระดับโลกทำสิ่งยุ่งยากวุ่นวายภายใต้แนวคิดที่เรียบง่าย
คือการทำมันให้เต็มที่ และถูกที่
ถูกเวลา
แต่คนธรรมดารอบตัวเรา
และ ในโซเชียล เรากลับเห็นว่าพวกเขากำลังทำทุกสิ่ง
ภายใต้ความคิดที่ว่าทุกสิ่งนั้นยากและวุ่นวาย
และพวกเขายังคอยสอนคนอื่นๆว่าชีวิตจริงมันคือแบบนี้ ไม่มีอะไรที่ง่ายดาย
ทีนี้เราเลยเริ่มกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ชีวิตจริงมันควรต้องเป็นตามแบบแผนที่คนเขาว่าดี...จริงเหรอ? ทำไมเราต้องทำสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่สนุกและยุ่งยาก...นั่นคือหนทางความสำเร็จที่เราปรารถนาจริงเหรอ?
รวมถึงเราเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับหนังสือที่เราเคยเชื่อ
แนวคิดที่เราพยายามแสวงหา...เราต้องการอะไรจากมัน
หากเราต้องการเทคนิคความสำเร็จ แสดงว่าเรากลัวความล้มเหลวหรือเปล่า
เราเลยพยายามกลบเกลื่อนมันด้วยการอ่านหนังสือฮาวทูไปเรื่อยๆ
แต่ไม่ยอมลงมือทำจริงๆสักที...
ขอบอกเลยว่าเคยชอบอ่านหนังสือแนวนี้มาก
เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่ารู้มากกว่าคนอื่น
แต่ในความเป็นจริงนั้นมันไม่ใช่ หนังสือแบบนี้โดยมากมักเขียนกระตุ้นให้เราหาแรงบันดาลใจและลงมือทำในสิ่งที่รัก
และมองข้ามอุปสรรค สรุปคือ ตัดสินใจแล้ว ทำไปเลย
ความจริงนั่นก็ถือเป็นสิ่งที่ดี
แต่เมื่อย้อนกลับมาในชีวิตจริง
การที่เราพึ่งพาหนังสือแบบนี้มากจนเกินไป
นั่นทำให้เรามักตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว
จนบางครั้งกลายเป็นตั้งแง่(มักเกิดจากการตีความหนังสือเพียงผิวเผินเกี่ยวกับหนทางแห่งความสำเร็จ)
และสิ่งหนึ่งที่หนังสือสอนให้เราทำไม่ได้คือ
ความกล้าที่จะปล่อยให้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่ต้องการ
เพราะต่อให้เราท่องหน้ากระจกว่าฉันทำได้ ทำอะไรต่างๆตามที่หนังสือบอก
แต่หากเราไม่ลงมือทำ ฝึกฝนในสิ่งที่เราต้องการ
มันก็จะเป็นเพียงการปลุกใจ
เพื่อให้ตัวเองสบายใจ
จากประสบการณ์ส่วนตัว
เทคนิคนั้นไม่จำเป็นเลยหากเราตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
และลงมือทำมันอย่างจริงจังมากพอ
เราจะคิดและทำทุกอย่างสอดคล้องกันไปเอง
โดยไม่ต้องนึกถึงเทคนิคอะไรเลยด้วยซ้ำ
และผลที่ได้คือความสำเร็จที่บางครั้งเกินคาดเลยด้วยซ้ำ
เช่น
การอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเอาทริคของคุณหนูดี
ยันด๊อกเตอร์มีชื่อทั้งหลายมาใช้
แต่สุดท้ายก็อ่านหนังสือไม่เข้าหัวอยู่ดี เพราะจริงๆแล้ว
เรากังวล กลัวว่าจะไม่เข้าใจทันเวลาสอบ หรืออะไรอื่นๆ
กลายเป็นว่าปัญหาไม่ใช่วิธีการ แต่เป็นปัญหาของความวิตก
และการรับมือกับปัญหานั้น บางครั้งหนังสือก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
แต่เมื่อเราลองอ่านโดยไม่ได้คิดอะไร
อ่านไปเรื่อยๆเหมือนกกำลังอ่านนิยายสักเล่ม
เรากลับอ่านมันจบในเวลาอันสั้น และยังเข้าใจแบบถ่องแท้อีกต่างหาก
นี่คือประสบการณ์ตรงที่อ้อจันพบ
มันทำให้เรารู้อย่างว่า บางทีเรารู้มากก็ทำให้คิดมาก
แล้วก็พลอยทำเรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากไป
ไม่มีใครบอกได้ว่าชีวิตที่ดีที่สุด
หนทางที่ดีที่สุด การตัดสินใจที่ดีที่สุด จะเกิดขึ้นตอนใหน
เรารู้ก็เมื่อมันได้เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
และทุกคนที่ไม่ได้เกิดมามีประสบการณ์ชีวิตเหมือนกัน
มีแนวคิดเหมือนกัน
เราจึงควรเก็บความคิดเห็นและหนังสือทั้งหลายไว้เป็นเพียงความรู้ประกอบการตัดสินใจ
ไม่ใช่ให้มันกำหนดชีวิตของคุณ
จริงๆแล้วเราทุกคนรู้ว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องอะไร
แต่เรามักไม่ค่อยเผชิญหน้ากับปัญแล้วจัดการทำอะไรสักอย่างกับมัน
เราหนีมันไปเรื่อยๆ หรือบางคนเลือกที่จะแบกมันเอาไว้
แล้วเที่ยวสอนคนนู้นคนนี้ว่าชีวิตจริงมันลำบาก อย่าโลกสวย
ทั้งที่ความจริงแล้ว พวกเขาเองก็อาจติดอยู่ในโลกความคิดของตัวเองในอีกรูปแบบหนึ่ง
เราเองก็ไม่ควรยัดเยียดสิ่งที่ลึกๆในใจของเราไม่รู้สึกเห็นด้วย
อย่าฝืน เพราะการฝืนไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น
สิ่งที่ควรทำจริงๆ
คือการคุยกับตัวเองอย่างจริงจัง ลงมือทำอย่างทุ่มเท
บนเส้นทางที่เรียบง่ายในแบบของคุณ
อย่าขอให้คนทั้งโลกมาบอกว่าเราควรทำอะไร
แต่เราควรกล้าที่จะยอมรับไม่ว่าชีวิตคุณจะเกิดอะไรขึ้น
และเดินหน้าทำในสิ่งที่คุณต้องการ